forex4rich.com 2025

ความรู้เทรด forex คริปโต และอินดิเคเตอร์ยอดนิยม

forex4rich.com 2025

ความรู้เทรด forex คริปโต และอินดิเคเตอร์ยอดนิยม

Uncategorizedอินดิเคเตอร์

30 อินดิเคเตอร์บน TradingView ที่บ่งบอกอารมณ์ “ความโลภ” (Greed) และ “ความกลัว” (Fear) ในตลาดการเงิน

30 อินดิเคเตอร์บน TradingView ที่บ่งบอกอารมณ์ “ความโลภ” (Greed) และ “ความกลัว” (Fear) ในตลาดการเงิน

การวิเคราะห์อารมณ์ของนักลงทุนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี “ความโลภ” และ “ความกลัว” เป็นสองแรงขับเคลื่อนที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการเคลื่อนไหวของราคา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 30 อินดิเคเตอร์บน TradingView ที่ช่วยบ่งบอกถึงอารมณ์เหล่านี้ พร้อมคำอธิบายโดยละเอียด

1. Fear & Greed Index

Fear & Greed Index เป็นดัชนีที่วัดความรู้สึกของตลาดโดยใช้หลายปัจจัย เช่น ความผันผวนของตลาด (Volatility), โมเมนตัมของตลาด, โซเชียลมีเดีย และข้อมูลจากการซื้อขาย หากค่าดัชนีเข้าใกล้ 100 หมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ “โลภ” ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ หากค่าใกล้ 0 แสดงว่าตลาดกำลัง “กลัว” ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโอกาสซื้อในราคาต่ำ

2. RSI (Relative Strength Index)

RSI เป็นอินดิเคเตอร์โมเมนตัมที่ใช้วัดระดับการซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold) โดยค่าที่สูงกว่า 70 บ่งชี้ว่าตลาดอาจกำลัง “โลภ” และมีโอกาสปรับฐานลง ส่วนค่าต่ำกว่า 30 แสดงว่าตลาดอาจกำลัง “กลัว” และอาจเป็นจุดเข้าซื้อที่ดี

3. Stochastic Oscillator

Stochastic เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา โดยค่าที่สูงกว่า 80 หมายถึงตลาดอยู่ในภาวะ Overbought (โลภ) และค่าต่ำกว่า 20 หมายถึงตลาดอยู่ในภาวะ Oversold (กลัว) การใช้ Stochastic ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถช่วยยืนยันแนวโน้มได้

4. CBOE Put/Call Ratio

Put/Call Ratio เป็นเครื่องมือวัดปริมาณออปชันประเภท Put (ขาลง) เทียบกับ Call (ขาขึ้น) หากอัตราส่วนสูง หมายความว่านักลงทุนกำลังซื้อประกันความเสี่ยงด้วย Put Options มากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึง “ความกลัว” หากอัตราส่วนต่ำ หมายถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น (โลภ)

5. VIX (Volatility Index)

VIX หรือที่เรียกกันว่า “ดัชนีความกลัว” เป็นตัวชี้วัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยทั่วไป หากค่า VIX สูงขึ้น หมายถึงนักลงทุนกำลังกลัวความไม่แน่นอนในตลาด หากค่า VIX ต่ำลง บ่งบอกถึงสภาวะที่นักลงทุนมั่นใจและอาจอยู่ในภาวะโลภ

6. Volume Spikes

ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นหรือร่วงลงอาจเป็นสัญญาณของความกลัวหรือความโลภ หากปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นเร็ว อาจหมายถึง FOMO (Fear of Missing Out) หรือความโลภ หากปริมาณสูงในช่วงราคาร่วงลง อาจเป็น Panic Selling หรือความกลัว

7. On-Balance Volume (OBV)

OBV เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดกระแสเงินไหลเข้าและออกจากตลาด หาก OBV ลดลงในขณะที่ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ปรับตัวขึ้น อาจบ่งชี้ว่าการไหลออกของเงินทุนเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณของ “ความกลัว”

8. Chaikin Money Flow

Chaikin Money Flow ใช้ปริมาณการซื้อขายเพื่อวัดแรงกดดันของตลาด หากค่าของ CMF เป็นบวกสูง หมายถึงเงินทุนไหลเข้ามาก (โลภ) หากค่าเป็นลบ แสดงว่าเงินทุนกำลังไหลออก (กลัว)

9. MACD Divergence

MACD เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ระบุแนวโน้มตลาด การเกิด Divergence ระหว่าง MACD และราคาหุ้นอาจเป็นสัญญาณเตือน หากราคาสูงขึ้นแต่ MACD ลดลง อาจหมายถึงตลาดกำลังสูญเสียแรงซื้อ และอาจเป็นสัญญาณเตือนของ “ความโลภ” ที่กำลังหมดลง

10. Bollinger Bands %B

Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ โดยมีแถบบน (Upper Band) และแถบล่าง (Lower Band) ซึ่งเป็นเส้นที่เคลื่อนตัวตามค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคา ค่า %B ใช้บอกตำแหน่งของราคาปัจจุบันเมื่อเทียบกับแถบดังกล่าว หากราคาสัมผัสหรือทะลุแถบบน แสดงถึงภาวะ “โลภ” หรือความคาดหวังที่สูงเกินไปของนักลงทุน ขณะที่หากราคาตกลงแตะหรือหลุดแถบล่าง อาจสะท้อนถึงภาวะ “กลัว” และความตื่นตระหนกของตลาด

11. Social Sentiment (StockTwits/Twitter)

การวิเคราะห์อารมณ์ของตลาดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น StockTwits หรือ Twitter สามารถสะท้อนระดับความโลภและความกลัวได้ หากมีการพูดถึงหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเกินจริง เช่น “ไปดวงจันทร์แน่นอน!” หรือ “โอกาสทองที่พลาดไม่ได้” แสดงถึงภาวะ “โลภ” ขณะที่หากมีการแสดงความคิดเห็นเชิงลบจำนวนมาก เช่น “ตลาดจบแล้ว” หรือ “ต้องหนีตาย” สะท้อนถึงภาวะ “กลัว” ที่ครอบคลุมตลาด

12. Advance-Decline Line (A/D Line)

Advance-Decline Line เป็นตัวชี้วัดที่เปรียบเทียบจำนวนหุ้นที่ขึ้นราคา (Advancers) กับจำนวนหุ้นที่ลงราคา (Decliners) หากดัชนีตลาดโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้น แต่เส้น A/D กลับลดลง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญภาวะ “กลัว” เนื่องจากการขึ้นของดัชนีเกิดจากหุ้นบางตัวเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งตลาด ส่งผลให้ตลาดโดยรวมขาดความแข็งแกร่ง

13. Arms Index (TRIN)

Arms Index หรือ TRIN (Trading Index) เป็นตัวชี้วัดที่เปรียบเทียบปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่ขึ้นและหุ้นที่ลง ค่า TRIN มากกว่า 1 หมายถึงปริมาณหุ้นที่ร่วงมีมากกว่าหุ้นที่ขึ้น ซึ่งแสดงถึงภาวะ “กลัว” ของตลาด ขณะที่ค่า TRIN ต่ำกว่า 1 บ่งบอกว่ามีแรงซื้อเข้ามามากกว่าการขาย ทำให้ตลาดอยู่ในภาวะ “โลภ”

14. Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement ใช้เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านสำคัญของราคา โดยระดับที่นิยมใช้กันคือ 38.2%, 50%, และ 61.8% หากราคาลดลงมาถึงระดับ Fibonacci ต่ำสุด เช่น 61.8% และเกิดแรงขายอย่างหนัก อาจเป็นสัญญาณของ panic selling ซึ่งเป็นภาวะที่นักลงทุนเกิดความ “กลัว” และขายสินทรัพย์โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริง

15. TICK Index

TICK Index วัดความแตกต่างของจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นกับจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลงภายในช่วงเวลาสั้น ๆ หากค่าของ TICK Index เป็นลบมาก แสดงว่ามีหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะ “กลัว” ของตลาด ในทางกลับกัน หากค่าของ TICK Index เป็นบวกสูง แสดงถึงภาวะ “โลภ” ของนักลงทุนที่กำลังเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง

16. McClellan Oscillator

McClellan Oscillator เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ความกว้างของตลาด หากค่าของดัชนีนี้เป็นลบอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน แสดงว่าความกลัวกำลังครอบงำตลาด และอาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานที่รุนแรง

17. MVRV Ratio (Crypto)

MVRV Ratio ใช้วัดความแตกต่างระหว่างมูลค่าตลาด (Market Value) กับมูลค่าที่แท้จริง (Realized Value) ของคริปโตเคอร์เรนซี หากค่า MVRV สูงมาก หมายความว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีกำไรสูง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “โลภ” และการขายทำกำไร ขณะที่ค่าต่ำมากอาจบ่งบอกว่าตลาดอยู่ในภาวะ “กลัว” และมีโอกาสดีสำหรับการเข้าซื้อ

18. Funding Rate (Crypto Futures)

Funding Rate ใช้ในตลาดฟิวเจอร์สของคริปโตเพื่อลดช่องว่างระหว่างราคาฟิวเจอร์สและราคาตลาด หาก Funding Rate สูงมาก แสดงว่านักลงทุนที่ถือสถานะ Long ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ที่ถือสถานะ Short ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะ “โลภ” ที่อาจเกิดการกลับตัวของตลาด

19. Hindenburg Omen

Hindenburg Omen เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ทำนายความเป็นไปได้ของตลาดหมีหรือภาวะตลาดทรุดตัวอย่างรุนแรง หากเกิดสัญญาณนี้ขึ้น หมายความว่านักลงทุนกำลังเข้าสู่ภาวะ “กลัว” และอาจเตรียมตัวสำหรับการปรับฐานที่รุนแรง

20. Bullish Percent Index (BPI)

Bullish Percent Index ใช้วัดจำนวนหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นตามกราฟ Point & Figure หากค่า BPI อยู่ในระดับต่ำ หมายถึงนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมีความ “กลัว” และตลาดอาจอยู่ในช่วงขาลง

21. Ulcer Index

Ulcer Index เป็นตัวชี้วัดที่ออกแบบมาเพื่อวัดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน หากค่าของ Ulcer Index สูง แสดงว่านักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของตลาด ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะ “กลัว” ที่เพิ่มขึ้น

22. Supertrend

Supertrend เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ระบุแนวโน้มของตลาดโดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยและความผันผวนของราคา หากเส้น Supertrend เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง หมายความว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มขาลง ซึ่งมักมาพร้อมกับภาวะ “กลัว” ของนักลงทุนที่อาจเริ่มทยอยขายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง

23. Order Book Imbalance (Crypto)

Order Book Imbalance ใช้สำหรับวิเคราะห์ตลาดคริปโตโดยดูจากสมุดคำสั่งซื้อขาย หากมีคำสั่งขายจำนวนมากในขณะที่คำสั่งซื้อมีน้อย แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ “กลัว” เนื่องจากนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเทขายสินทรัพย์มากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานของราคา

24. Negative Divergence (RSI/MACD)

Negative Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI หรือ MACD กลับลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อลดลงและอาจเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “โลภ” ของนักลงทุนที่เข้าซื้อโดยไม่ได้คำนึงถึงแนวโน้มที่แท้จริงของตลาด ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับตัวของราคา

25. Volatility Bands

Volatility Bands ใช้วัดความผันผวนของตลาด หากระยะห่างระหว่างแถบกว้างขึ้น แสดงถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงภาวะ “กลัว” หรือ “โลภ” ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาด หากตลาดร่วงลงพร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น นั่นอาจหมายถึงภาวะตื่นตระหนก ในทางกลับกัน หากตลาดพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจสะท้อนถึงภาวะโลภที่มากเกินไป

26. Market Profile (Volume Profile)

Market Profile หรือ Volume Profile ใช้เพื่อวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับราคา หากมีปริมาณซื้อขายสูงที่ระดับราคาสูงสุดหรือราคาต่ำสุด อาจเป็นสัญญาณของภาวะ “โลภ” หรือ “กลัว” ตามลำดับ หากมีการซื้อขายมากที่จุดสูงสุด แสดงว่านักลงทุนมีความมั่นใจเกินไป ขณะที่หากมีการซื้อขายมากในจุดต่ำสุด อาจสะท้อนถึงความตื่นตระหนกของตลาด

27. Cumulative Volume Index (CVI)

Cumulative Volume Index ใช้เพื่อวัดทิศทางของกระแสเงินทุนในตลาด หากปริมาณการซื้อขายสะสมลดลงขณะที่ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น อาจหมายความว่าการขึ้นของราคาขาดแรงสนับสนุน ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะ “กลัว” ที่แฝงอยู่ในตลาด เนื่องจากนักลงทุนอาจลังเลที่จะเข้าซื้อเพิ่มเติม

28. Herrick Payoff Index (HPI)

Herrick Payoff Index เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในตลาดฟิวเจอร์สเพื่อดูการไหลเข้าออกของเงินทุน หากค่าของ HPI เป็นลบ แสดงว่านักลงทุนกำลังถอนเงินออกจากตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะ “กลัว” เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในแนวโน้มของตลาดและต้องการลดความเสี่ยง

29. High-Low Index

High-Low Index ใช้วัดจำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่เทียบกับจำนวนหุ้นที่ทำจุดต่ำสุดใหม่ หากดัชนีนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าความเชื่อมั่นของตลาดกำลังลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะ “กลัว” ที่อาจนำไปสู่แรงขายเพิ่มเติมและแนวโน้มขาลงของตลาด

30. Exchange Netflow (Crypto)

Exchange Netflow เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในตลาดคริปโตเพื่อตรวจสอบการไหลเข้าออกของเงินทุนในกระดานแลกเปลี่ยน หากมีการไหลเข้าของเงินทุนสูง แสดงว่านักลงทุนอาจกำลังเตรียมตัวขายสินทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะ “กลัว” ที่อาจทำให้ราคาปรับตัวลง ในทางตรงกันข้าม หากมีการไหลออกของเงินทุนสูง อาจหมายความว่านักลงทุนกำลังถือสินทรัพย์ไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นในตลาด


หมายเหตุ:

  • สำหรับตลาดคริปโต อินดิเคเตอร์เฉพาะ เช่น MVRV Ratio, Funding Rate และ Exchange Netflow ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในเชิง On-Chain ได้ดียิ่งขึ้น

สรุป:

อินดิเคเตอร์ทั้งหมดนี้สามารถใช้ร่วมกันเพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ตลาดมีความแม่นยำขึ้น แต่อย่าลืมว่าไม่มีเครื่องมือใดที่ให้สัญญาณ 100% ดังนั้น ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ และการบริหารความเสี่ยงเสมอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *